องค์กรพันธมิตรโลกเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หรือ WABA : World Alliance for Breastfeeding Actions
ได้กำหนดคำขวัญเพื่อรณรงค์การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ร่วมกันใน“สัปดาห์นมแม่โลก 2566” วันที่ 1-7 สิงหาคมนี้ไว้ว่า ENABLING BREASTFEDDING Making a difference for working parents หรือ “สานพลังสร้างสรรค์สังคมนมแม่เพื่อพ่อแม่ที่ต้องทำงาน”
โดยคำขวัญปีนี้มุ่งเน้นเรื่อง การช่วยให้แม่ยังคงให้นมแม่ได้ แม้ทั้งพ่อและแม่ต้องทำงาน ขบวนการช่วยให้แม่ยังคงให้นมแม่ได้ มีหลายวิธี และตามบริบทของครอบครัว เช่น การเก็บนมแม่ไว้ให้ลูกที่บ้านและฝากให้คนเลี้ยงเอาให้ลูก ถ้าไปที่ทำงานก็มีมุมนมแม่เพื่อบีบเก็บนม เอากลับบ้าน ในกรณี ไม่มีคนช่วยเลี้ยงที่ไว้ใจได้ ก็จำเป็นต้องมีสถานที่ช่วยรับเลี้ยงในระหว่างแม่ไปทำงาน (เดย์แคร์นมแม่) ที่สำคัญที่สุดและเป็นการช่วยแม่ยังคงให้นมแม่ได้ คือแม่ได้อยู่บ้าน การให้นมแม่และแม่เลี้ยงลูกเองในวัยทารกและเตาะแตะเป็นเรื่องสำคัญสุดสุดในการวางรากฐานสุขภาวะให้กับชีวิตเด็ก ระยะเวลาที่มูลนิธิขอเสนอว่า พอเหมาะกับสถานการณ์ เศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน คืออนุญาต “ลาคลอด 6 เดือน”
ปัจจุบันพบว่ามีเพียงร้อยละ 10 ของประเทศทั่วโลก ที่ดำเนินการเป็นไปตามมาตรฐานองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในเรื่องของระยะเวลาของการลาคลอดที่ยังคงได้รับค่าแรง รวมไปถึงสิทธิ์การลาคลอดสำหรับพ่อหรือสมาชิกในครอบครัว อย่างไรก็ตามแม้จะได้รับสิทธิ์การลาคลอดและค่าแรง แต่หากขาดการสนับสนุนจากสถานที่ทำงานอย่างเหมาะสม ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือนได้สำเร็จ
พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า มูลนิธิฯ ได้ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสังคมไทยมานานกว่า 20 ปี เพราะประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แจ่มชัดขึ้นตลอดเวลาโดยเฉพาะเรื่องภูมิคุ้มกัน จุลินทรีย์สุขภาพ IQ และความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในอ้อมกอดแม่ ฯลฯ มูลนิธิฯ สนับสนุนให้เด็กไทยได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ไม่ต้องกินแม้แต่น้ำ และกินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่อาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น โดยจะทำได้เริ่มต้นต้องช่วยกันสนับสนุนให้มีการดูดนมแม่บนเตียงคลอดเพื่อกระตุ้นให้น้ำนมมาเร็ว และโรงพยาบาลต่างทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยกันสอนแม่ให้สามารถให้นมแม่เป็นก่อนออกจากโรงพยาบาล แม่มีปัญหาใดๆติดต่อ call center นมแม่จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น จากโรงพยาบาลต่างๆ หน่วยงานองค์กรที่ไม่แสวงกำไร โดยตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2568 เด็กไทยร้อยละ 50 จะได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน ปัจจุบันกฎหมายให้แม่สามารถลาคลอดได้เพียง 3 เดือน
“การสนับสนุนจากสถานที่ทำงานและกฎหมายการลาคลอดที่นานเพียงพอโดยที่ยังคงได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน เป็นเป้าหมายสำคัญที่มูลนิธิฯ ได้ร่วมกับกรมสวัสดิการแรงงานและภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนเรื่องมุมนมแม่ในสถานประกอบการ เพื่อให้แม่ที่ต้องกลับไปทำงานสามารถบีบเก็บน้ำนมไว้ให้ลูกได้ในช่วงที่แม่ทำงาน เพื่อให้ลูกสามารถกินนมแม่ได้ถึง 6 เดือน ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยให้เด็กมีสุขภาพที่แข็งแรงไม่ป่วยบ่อย ทำให้การขาดงานของแม่ลดลง ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงานของแม่ และเกิดประโยชน์ต่อนายจ้างเช่นกัน”
ข้อมูลจากการสำรวจ สถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย MICs 6 พ.ศ.2565 พบว่าประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนอยู่ที่เพียงร้อยละ 28.6 และยิ่งลดลงเมื่อครบกำหนดลาคลอด 3 เดือน เมื่อแม่ต้องกลับไปทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและสถานการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของนานาประเทศที่พบว่า อุปสรรคสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่คือขาดการสนับสนุนจากสถานที่ทำงาน
“มูลนิธิฯผลักดันนโยบายการเพิ่มสิทธิ์ลาคลอดให้กับหญิงไทย 6 เดือนให้ได้รับค่าแรงเต็มจำนวนระหว่างการลาคลอด เพื่อเด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพโดยมีจุดเริ่มต้นที่นมแม่อย่างเดียว 6 เดือน นอกจากนี้การมี Day Care 3 เดือนถึง 3 ปีที่มีคุณภาพ จะช่วยให้เด็กไทยที่มีจำนวนเกิดน้อยลง ได้เติบโตอย่างมั่นคงเป็นกำลังสำคัญของชาติ” ประธานมูลนิธิฯ กล่าวสรุป
สำหรับแม่ที่กำลังตั้งครรภ์-หลังคลอด สามารถศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อเตรียมตัวอย่างถูกต้องได้ที่ www.thaibf.com หรือที่ Facebookเพจ : Thaibf และ นมแม่ หรือดาวน์โหลด Application : Everyday Doctor ของกรมอนามัยที่เปิดคลินิกนมแม่ออนไลน์ เพื่อให้คำปรึกษาแม่ที่มีปัญหาในการให้นมแม่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
No comments