ผู้ถือหุ้น SAWAD และ BFIT ลงมติอนุมัติการควบรวมกิจการของ บง.ศรีสวัสดิ์ (BFIT) ผ่านธุรกรรม ซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดใน บ.ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล (SCAP) พร้อมคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุน เตรียมลุยธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเต็มตัว ด้านผู้บริหารมั่นใจการปรับโครงสร้างองค์กรหนุนการเติบโตระยะยาว หลังพบอุปสงค์สินเชื่อขยายตัวในอัตราเร่ง สอดรับสถานการณ์เศรษฐกิจฟื้นตัว
ธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท และ บมจ. เงินทุน ศรีสวัสดิ์ (BFIT) ได้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ BFIT นั้น ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติการคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนของ BFIT อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดในบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด (SCAP) และอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) เพื่อชำระเป็นค่าตอบแทนสำหรับธุรกรรมการซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดใน SCAP ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัท ทั้งนี้การคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุน สืบเนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและข้อกำหนดในการดำเนินงานซึ่งทำให้กลุ่มบริษัทต้องชะลอการปล่อยสินเชื่อและมีความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อนโยบายการดำเนินธุรกิจในอนาคตของกลุ่มบริษัทที่อาจไม่คล่องตัว ดังนั้นเมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติเรื่องดังกล่าวแล้ว กลุ่มบริษัทจึงมีแผนงานในการประกอบธุรกิจใหม่ในด้านบริการสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อส่วนบุคคลแทนซึ่งมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากกว่าโดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการตามแผนงานได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2565 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย
“ หลังจากการอนุมัติของผู้ถือหุ้นในครั้งนี้แล้ว บริษัทเตรียมเดินหน้าเพื่อทำธุรกรรมการแลกหุ้น โดยจะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BFIT จำนวน 487 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 24 บาท ซึ่งเป็นการจัดสรรหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัด หรือ Private Placement เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับการจำหน่ายหุ้น SCAP ที่บริษัทถืออยู่จำนวน 39 ล้านหุ้นให้กับ BFIT แทนการชำระด้วยเงินสด รวมมูลค่ารายการเท่ากับ 11,700 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่ายุติธรรมของทั้งสองกิจการ ทำให้ BFIT และบริษัทไม่มีภาระในการจัดหาเงินทุนเพื่อเข้าทำรายการ โดยบริษัทยังคงได้ประโยชน์จากการถือหุ้นใน SCAP ตามสัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนทางด้าน BFIT จะได้ประโยชน์จากฐานทุนที่มีการปล่อยสินเชื่อที่มีโอกาสเติบโตสูง โครงสร้างการถือหุ้นและธุรกิจของกลุ่มบริษัทจะเกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วยลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของกลุ่มบริษัทได้ในอนาคต ทำให้กลุ่มบริษัทเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น ” ธิดา กล่าว
No comments