กรรมการปฏิรูปฯ การศึกษา แง้ม 3 กลไก บิ๊กร็อกพลิกโฉมบรรทัดฐานโลกยุคเก่า ไม่อิงหลักสูตรพื้นฐาน มุ่งสร้างสมรรถนะเด็กจริง มุ่งใช้ทักษะเพื่ออนาคตได้
รศ. ดร.วิวัฒน์ เรืองเลิศปัญญากุล กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เปิดเผยว่า หลักสูตรการศึกษาของไทยจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ความรู้จากในตำราในรูปแบบเดิมไม่เพียงพอต่อทักษะการทำงานและการดำเนินชีวิตในอนาคต โดยสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งเสริมสร้างให้กับเยาวชนคือ สมรรถนะหรือความสามารถในการนำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิชาการมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปการเรียนการสอนของระบบการศึกษาไทยให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา จึงได้ดำเนินการขับเคลื่อนกิจกรรมการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (Competency-based Learning) หรือ บิ๊กร็อกที่ 2 เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
![](https://www.thaiedreform2022.org/wp-content/uploads/2022/03/%E0%B8%A3%E0%B8%A8.-%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C-1024x771.jpg)
รศ. ดร.วิวัฒน์ กล่าวเสริมว่า การปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาจากหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standards based Curriculum) มาเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน ต้องดำเนินการผ่าน 3 กลไกหลัก ได้แก่ ผู้เรียน ครูผู้สอน ผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อให้ทั้งระบบดำเนินไปในทิศทางเดียวกันและรองรับกัน ดังนี้ ผู้เรียน ต้องรับรู้ว่าตนเองจะถูกประเมินทักษะใหม่ๆ นอกเหนือจากการทดสอบความรู้รายวิชาเรียน เช่น ทักษะการทำงานร่วมกับเพื่อน การคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ ครูผู้สอน ต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร สามารถออกแบบการจัดการเรียนการสอนเพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ ไปจนถึงการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง ผู้บริหารสถานศึกษา ต้องมีสมรรถนะในการบริหารงานวิชาการและการนิเทศการจัดการเรียนรู้ กำหนดมาตรฐานการประเมินของครูผู้สอน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในโรงเรียนเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของทั้งครูผู้สอนและผู้เรียน
![](https://www.thaiedreform2022.org/wp-content/uploads/2022/03/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7_6-1024x683.jpg)
สำหรับการประเมินวัดผลของหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum) กำหนดว่าผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาสมรรถนะเพื่อนำไปใช้ต่อยอดในการอนาคตได้ โดยไม่ขึ้นกับเนื้อหาสาระของศาสตร์ใดๆ รวมถึงจำนวนชั่วโมงเรียน ซึ่งแตกต่างจากหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standards based Curriculum) ที่กำหนดตัวชี้วัดจากผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน มีการทดสอบความรู้ความสามารถของผู้เรียนเป็นระยะจนจบการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงการวัดทักษะหรือทัศนคติวิธีการคิดของผู้เรียนอย่างชัดเจน โดยปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ดำเนินการผลักดันหลักสูตรฐานสมรรถนะในขั้นทดลองใช้ผ่าน “โครงการนำร่องการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” กรอบเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2565 – ปีการศึกษา 2567 เพื่อปรับปรุงและเตรียมขยายผลต่อทั่วประเทศ
![](https://www.thaiedreform2022.org/wp-content/uploads/2022/03/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7_1-1024x684.jpg)
“การปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะไม่สามารถสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น และต้องอาศัยร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวของในทุกระดับเพื่อพัฒนากรอบหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงผู้ปกครองที่ต้องเข้าใจว่าในอนาคตเกรดเฉลี่ยจะไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดสมรรรถนะของเด็กได้ นอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมแนวคิด Unlearn และ Relearn ให้กับผู้เรียนคือ การไม่ยึดติดและละทิ้งสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อน เพราะบางเรื่องที่เคยเรียนรู้อาจหมดอายุไปแล้วเนื่องจากโลกก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา รวมถึงพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องที่เคยรู้ด้วยมุมมองใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนในการดำรงชีวิตให้เติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศ และพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก” รศ. ดร.วิวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรม ของ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ได้ใน 4 ช่องทาง ดังนี้ เว็บไซต์ https://www.thaiedreform2022.org เฟซบุ๊กแฟนเพจ https://web.facebook.com/Thaiedreform2022 ยูทูบช่อง ‘thaiedreform2022’ และทวิตเตอร์ https://twitter.com/Thaiedreform22
No comments