วัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 จำเป็นแค่ไหน เลือกจากอะไรบ้าง
วัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 จำเป็นแค่ไหน เลือกจากอะไรบ้าง
จากสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดและกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้แก่ประชาชนไทยในสูตรต่างๆ โดยขณะที่มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้แก่ประชาชนไปแล้วกว่า 21.1 ล้านโดส พบว่าหลายคนยังสงสัยว่าวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 มีความจำเป็นเพียงใด และควรเลือกวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 อย่างไร ในประเด็นนี้ นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิและรองผู้อำนวยการสถาบัน สถาบันบำราศนราดูร ได้ให้คำแนะนำเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำคัญของวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มกระตุ้น และแนวทางการพิจารณาวัคซีนเข็มที่ 3 ที่เหมาะสม
ฉีดครบ 2 เข็ม…เพียงพอหรือไม่ในวันนี้?
การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 มีความสำคัญอย่างมากในการช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สามารถป้องกันการติดเชื้อรวมถึงป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้ ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบจำนวน 2 เข็ม ระดับภูมิคุ้มกันจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป และในปัจจุบันมีการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อให้ร่างกายสามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีมาตรการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 เว้นห่างจากวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นระยะเวลา 3-6 เดือน ให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และบุคลากรด่านหน้าของสังคม
เลือกวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3…ควรพิจารณาอย่างไร?
สิ่งสำคัญคือความเข้าใจที่ถูกต้องระหว่างประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีน (Efficacy) คือผลการป้องกันของวัคซีนที่ทำการศึกษาในโครงการวิจัยที่มีการควบคุมปัจจัยต่างๆ อย่างเข้มงวด ขณะที่ประสิทธิผลของวัคซีน (Effectiveness) เป็นการดูผลการป้องกันของวัคซีนในชีวิตจริงที่มีการใช้ในประชากรในวงกว้าง หากจะเปรียบเปรยให้เห็นภาพมากขึ้น ประสิทธิภาพของวัคซีนก็คือผลการเรียนของเราในรั้วโรงเรียน ส่วนประสิทธิผลก็คือผลการทำงานในชีวิตจริง ดังนั้น ประสิทธิผลของวัคซีนจึงเป็นตัวสะท้อนถึงผลของการป้องกันของวัคซีนในสถานการณ์จริงมากกว่า และควรเป็นตัวชี้วัดประกอบการพิจารณาเลือกวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เหมาะสม
ระบบภูมิคุ้มกันที่ดี…ต้องดูที่ไหน?
นอกเหนือจากระบบภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดี (Antibody) ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี ในความเป็นจริงยังมีระบบภูมิคุ้มกันอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นก็คือ “ระบบภูมิคุ้มกันชนิดทีเซลล์ (T-cells)” อันเป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดจำเพาะเจาะจง ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญในการจดจำเชื้อโรคหรือไวรัสที่เข้ามาสู่ร่างกายได้ในระยะเวลายาวนาน และสามารถตอบสนองต่อเชื้อโรคตัวเดิมในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดย T-cells มีหน้าที่ช่วยกำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อในร่างกาย และช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานอื่นๆ ในร่างกายให้ตอบสนองดีขึ้น จึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันโควิด-19 เช่น วัคซีนชนิด Viral Vector มีคุณสมบัติในการกระตุ้น T-cells ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนานเป็นเวลาหลายเดือน จึงสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคและอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี
วัคซีนกระตุ้นเข็ม 3…จะมีผลข้างเคียงอย่างไร?
อาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 นั้นพบได้น้อย ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง โดยเป็นอาการที่มักหายได้เอง อาทิ ปวดบริเวณที่ฉีด บวมแดง หรือมีไข้ เป็นต้น โดยหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ควรเฝ้าระวังสังเกตอาการตนเอง จนครบ 30 นาที หากพบว่ามีอาการรุนแรงควรรีบพบแพทย์ทันที
วัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ในประเทศไทย…ตอบโจทย์ไหมในวันนี้?
จากการศึกษาในชีวิตจริงหรือในสถานการณ์จริงทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กระตุ้นเข็มที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นชนิด mRNA หรือชนิด Viral Vector ก็ตาม สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ การเจ็บป่วยหนักในระดับที่ต้องเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้สูง ในทุกสายพันธุ์ที่มีการระบาด รวมถึงสายพันธุ์โอมิครอน จึงสรุปได้ว่ามาตรการจัดสรรวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ของกระทรวงสาธารณสุขไทยตอบโจทย์สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ดังนั้นประชาชนทุกคน ควรต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19 อย่างมีประสิทธิผล
ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตลอดไปไหม?
ยังไม่สามารถสรุปได้ ต้องรอข้อมูลการศึกษาเพิ่มเติม ทว่าแนวทางการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มกระตุ้นในระยะยาวนั้นมีความเป็นไปได้
เกี่ยวกับ แอสตร้าเซนเนก้า
แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จากแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.com และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca
No comments